About

Lady Society แหล่งรวบรวมสาระความรู้ สำหรับคุณผู้หญิงที่ต้องการหาคำตอบเรื่อง ความสวย ความงาม ให้กับตัวเอง สำหรับที่นี้คุณจะได้ทั้ง ความรู้ ความลับ เทคนิค
ทรงผม ฯลฯ วิธีการต่างๆที่นำไปใช้ได้จริง
ในชีวิตประจำวัน

สรุปผลลดอ้วน [กรณีศึกษา]


สรุปผลลดอ้วน [กรณีศึกษา]

              สรุปผลลดอ้วน [กรณีศึกษา] เนื้อหาในส่วนนี้ทาง Admin จะทำการเจาะลึกข้อมูลรวบรวมบทความต่างๆ ด้วยการสรรหาบุคคลจากสังคมเรา ที่ทำการลดความอ้วนจริง และเห็นผลจริง เพื่อให้เห็นผลแตกต่างจากการลดความ ระหว่างก่อนลดความอ้วน และหลังลดความอ้วน

              บทความที่จะนำเสนอ ในส่วนของ สรุปผลลดอ้วน [กรณีศึกษา] นี้ จะทำให้ผู้อ่านได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของผู้ลดความอ้วนในแง่มุมต่างๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ทั้งภายใน ภายนอก ความเปลี่ยนแปลงของบุคลิคประจำวัน ความเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมหรือผลตอบรับจากสังคมทั้งก่อนและหลังการลดน้ำหลัง หรือการลดความอ้วน เป็นต้น เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญในการใส่ใจหันมาดูแลสุขภาพร่างกายของเรา

              ทางเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหัวข้อที่ตั้งขึ้นนี้จะมีประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่านที่แวะเข้ามาเยี่ยมชม หากทางเราทำการใดผิดพลาดไป ต้องขออภัยทุกท่านมา ณ ที่นี้ ทั้งนี้ทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมสามารถให้คำแนะนำหรือติชมเนื้อหาได้เสมอ ทางเรายินดีแก้ไขปรับปรุง ทุกข้อแนะนำ

ที่มาของความอ้วน

ที่มาของความอ้วน

                   ในบทความแรกที่จะขอนำเสนอเกี่ยวกับที่มาของความอ้วน เพื่อให้เราสามารถวิเคราะห์ตัวเราเองง่ายๆว่าเหตุใดที่ทำให้เรารู้สึกได้ว่า น้ำหนักของเราจึงเพิ่มขึ้น

  
                   ความอ้วนในที่นี้หมายถึง การมีน้ำหนักตัวมากกว่าที่ควรจะเป็น ไม่ใช่อ้วนกำลังดี อ้วนพองามหรือกำลังสวย คำว่า อ้วนตามความหมายของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง มีเนื้อและไขมันมาก โต อวบ ซึ่งเป็นความหมายที่ไม่น่าปรารถนาของคนทั่ว ๆ ไป ถ้าคุณถูกทักว่า ดูคุณอ้วนขึ้นนะ ทำไมเดี๋ยวนี้อ้วนจังคุณก็คงไม่ค่อยจะพอใจนัก 

                   คนอ้วนหรือคนที่เป็นโรคอ้วนนั้น หมายถึง ผู้ที่มีปริมาณไขมันอยู่ในร่างกายมากกว่าเกณฑ์ปกติ ซึ่งตามหลักสากลกำหนดว่า

  
                   ผู้ชาย : ไม่ควรมีปริมาณของไขมันในตัวเกินกว่า ร้อยละ 12 – 15 ของน้ำหนักตัว
                   ผู้หญิง : ไม่ควรมีปริมาณของไขมันในตัวเกินกว่า ร้อยละ 18 – 20 ของน้ำหนักตัวซึ่งในการตรวจหาปริมาณไขมันนี้ต้องทำในห้องปฏิบัติการ ซึ่งเป็นวิธีที่ยุ่งยากอยู่ไม่น้อยทีเดียว
ผู้ป่วยบางโรค จะได้รับฮอร์โมนสเตียรอยด์เป็นเวลานานก็ทำให้อ้วนได้ และในเพศหญิงที่ฉีดยาหรือรับประทานยาคุม กำเนิดก็ทำให้อ้วนได้เช่นกัน


  
                   คนอ้วนจะรู้สึกอุ้ยอ้ายขาดความคล่องแคล่วว่องไวไม่กระฉับกระเฉงต้องแบกน้ำหนักตัวมาก ๆ อยู่ตลอดเวลา อาจได้รับฉายาต่าง ๆ นานา นอกจากนี้ยังเป็นบ่อเกิดของโรคร้ายอีกมากมาย ดังนั้นเราจึงไม่ควรจะปล่อยตัวเองให้อ้วนหรือถ้ากำลังอ้วนอยู่ก็น่าที่จะหาทางลดน้ำหนักลงมาในระดับปกติของคนทั่ว ๆ ไป
  
สาเหตุของความอ้วน
  
                   ความอ้วนเกิดจากการที่ร่างกายได้รับพลังงานจากอาหารเข้าไปมากกว่าที่ร่างกายต้องการ และเกิดการสะสมไว้ในรูปของไขมันซึ่งอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หลักง่าย ๆ ของการลดน้ำหนักก็คือ ให้ร่างกายได้รับพลังงานน้อยลงกว่าที่ต้องการและใช้พลังงานที่เก็บสะสมไว้ให้มากขึ้น แต่ในทางปฏิบัติเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก เพราะการรับประทานนั้นนอกจากจะเกิดจากความหิวแล้วยังเกิดจากความอยากจากการได้ยิน ได้เห็น ได้กลิ่นและได้ชิมรสด้วย
  
สาเหตุที่ทำให้อ้วน
                   1. กรรมพันธุ์
                   ถ้าพ่อและแม่อ้วนทั้งสองคนลูกจะมีโอกาสอ้วนได้ถึงร้อยละ 80 ถ้าพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งอ้วนลูกจะมีโอกาสอ้วนได้ถึงร้อยละ 40 แต่คุณไม่ควรจะวิตกกังวลจนเกินเหตุไม่ใช่ว่าคุณจะหมดโอกาสผอมหรือหุ่นดีเหมือนคนอื่น

                   2. นิสัยในการรับประทานอาหาร
                   คนที่มีนิสัยการรับประทานที่ไม่ดี ที่เรียกว่ากินจุบกินจิบไม่เป็นเวลาก็ทำให้อ้วนได้

                   3. ขาดการออกกำลังกาย
                    ถ้ารับประทานอาหารมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ แต่ได้ออกกำลังกาย บ้างก็อาจทำให้อ้วนช้าลง แต่หลายท่านที่รับประทานพอดีหรือมากกว่าความต้องการของร่างกายแล้วนั่ง ๆ นอน ๆ โดยไม่ได้ยืดเส้นยืดสายออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมใด ๆ ในไม่ช้าจะเกิดการสะสมเป็นไขมันในร่างกาย

                    4. จิตใจและอารมณ์
                    มีคนเป็นจำนวนไม่น้อยที่การรับประทานอาหารนั้นขึ้นอยู่กับจิตใจและอารมณ์ เช่น การรับประทานอาหารเพื่อดับความโกรธ ความคับแค้นใจ กลุ้มใจ กังวลใจหรือดีใจ บุคคลเหล่านี้จะรู้สึกว่าอาหารททำให้จิตใจสงบ จึงหันมายึดเอาอาหารไว้เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความสบายใจ ตรงกันข้ามกับบางคนกลุ้มใจเสียใจก็รับประทานอาหารไม่ได้ถ้าในระยะเวลานาน ๆ ก็มีผลทำให้ขาดอาหารเป็นต้น

                   5. ความไม่สมดุลย์ระหว่างความรู้สึกอิ่มกับความหิวหรือความอยากอาหาร
                    เมื่อใดที่ความอยากเพิ่มขึ้นเมื่อนั้นการบริโภคก็จะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งถึงขั้นที่เรียกว่า กินจุในที่สุดก็จะทำให้อ้วน

                   6. เพศ
                    เพศหญิงมักมีโอกาสอ้วนได้ง่ายกว่าเพศชาย เพราะโดยธรรมชาติมักสรรหาอาหารมารับประทานกันได้ตลอดเวลา อีกทั้งเพศหญิงจะต้องตั้งครรภ์ซึ่งทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เพราะต้องรับประทานอาหารมากขึ้น เพื่อบำรุงร่างกายและทารกในครรภ์ และหลังจากคลอดบุตรแล้วก็ไม่สามารถลดน้ำหนักลงมาให้เท่ากับ เมื่อก่อนตั้งครรภ์ได้ นอกจากนี้ ในขณะตั้งครรภ์นั้นมักจะรับประทานอาหารในประมาณที่มาก ทำให้ติดเป็นนิสัยจึงทำให้น้ำหนักยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

                   7. อายุ
                    เมื่อมีอายุมากขึ้นก็มีโอกาสอ้วนง่ายขึ้นทั้งเพศชายและเพศหญิง ซึ่งอาจเนื่องมาจากการใช้พลังงานน้อยลง

                   8. กระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นในร่างกาย
                    อัตราการเปลี่ยนแปลงทางเคมีภายในร่างกาย คือ อัตราความสามารถในการใช้พลังงานของร่างกายจะค่อย ๆ ลดลงตามอายุ นอกจากนี้อัตราการเผาผลาญยังขึ้นอยู่กับเพศ รูปร่าง กรรมพันธุ์และวิธีการดำเนินชีวิตของแต่ละบุคคลด้วย

                    9. ยา
                   ผู้ป่วยบางโรค จะได้รับฮอร์โมนสเตียรอยด์เป็นเวลานานก็ทำให้อ้วนได้ และในเพศหญิงที่ฉีดยาหรือรับประทานยาคุม กำเนิดก็ทำให้อ้วนได้เช่นกัน

                   ความอ้วนเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่สิ่งที่สำคัญขึ้นอยู่กับตัวบุคคลว่าเห็นความสำคัญของร่างกายตนเองหรือไม่ หรือคุณต้องการมีบุคลลิคที่ดีอย่างไร สิ่งเหล่านี้เราเป็นผู้เลือกได้ คะ อย่าลืมเริ่มดูแลตนเองตั้งแต่วันนี้น่ะคะ ^^


ขอบคุณที่มาดีดีจาก : lowfatmart.tripod



ทรงเล็บแบบต่างๆ

          
ทรงเล็บแบบต่างๆ

                    เล็บ เป็นอีกส่วนหนึ่งที่เราสามารถจัดทรง หรือ รูปแบบของเล็บให้สวยงาม ตามความเหมาะสมของลักษณะเล็บที่เรามีอยู่ รูปแบบต่างๆที่จะนำเสนอวันนี้คือ "ทรงเล็บ" ในแบบต่างๆค่ะ มาดูกันเลยจ้า ^^


                    จากภาพจะเห็นได้ว่า การไว้เล็บ มี 6 แบบคร่าวๆ ด้วยกันจ้า

                    1. Almond : ทรงอัลมอนด์ ลักษณะเด่น >>  มล เรียว ยาว

                    2. Mountain peak : ทรงภูเขา / ทรงสามเหลี่ยม ลักษณะเด่น >> เรียว แหลมปลาย

                    3. Square : ทรงสี่เหลี่ยม ลักษณะเด่น >> ปลายเล็บได้รูปเหลี่ยม เสมือนสี่เหลี่ยม
                        ผืนผ้า

                    4. Rounded : ทรงโค้งมล ลักษณะเด่น >> ปลายเล็บโค้งมล ดูเรียว

                    5. Squarely rounded : ทรงนี้จะมีลักษณะคล้ายกับทรงที่ 3 เพียงแต่ตัดเล็บให้มุมของ
                        สี่เหลี่ยม มีความมลดูสวยงามมากขึ้น

                    6. Oval : ทรงรูปไข่ ลักษณะเด่น >> เล็บจะมีลักษณะที่เรียว มล ตั้งแต่โคนเล็บจน
                        ถึงปลายเล็บ

                    อย่าลืมน่ะค่ะ การไว้เล็บให้เหมาะสมกับลักษณะเล็บของเรา (ความแข็งแรงของเล็บ) จะช่วยให้การไว้เล็บทรงต่างๆ อยู่ได้นานขึ้น เล็บไม่ฉีกขาด หรือลอกได้ง่าย สาวๆ ไว้ทรงไหนกันบ้าง อย่าลืมมาร่วมแชร์ให้เราดูบ้างน่ะค่ะ ^^ 


ขอบคุณที่มาดีดีจาก : a.akamaihd.net



ขั้นตอนการเขียนคิ้ว อย่างง่าย >> TBD EYE FOCUS: EASY BROWS



                   วันนี้ Lady Society ขอนำเสนอวิธีการเขียนคิ้วอย่างง่าย ให้กับสาวๆ ที่กำลังหาวิธีการเขียนคิ้วแบบไม่ยุ่งยากมาฝาก โดยอุปกรณ์ที่สาวๆต้องเตรียมไว้มีตามนี้เลยจ้า ลายฉลุคิ้ว(แบบเขียนคิ้วสำเร็จรูป), ดินสอเขียนคิ้ว และ แปลงสำหรับเขียนคิ้ว 
                   สำหรับ "แปลงเขียนคิ้ว" สาวๆสามารถทำขึ้นเองได้ง่ายๆ ด้วยการนำแปลงของมาสคาร่าที่ไม่ใช้แล้วมาทำความสะอาด แค่นี้สาวๆก็ได้แปลงที่สามารถใช้ได้ทั้งการทำความสะอาดคิ้ว หรือนำมาตกแต่งคิ้วเราแล้วจ้า ทีนี้เรามาดูวิธีการเขียนคิ้วอย่างง่ายกันเลย . . .





         1. นำแปลงเขียนคิ้ว ค่อยๆแปลงเพื่อเป็นการทำความสะอาดคิ้ว และ เป็นการจัดขนคิ้วของเราให้เรียงกันอย่างสวยงาม











         2. นำลายฉลุคิ้ว(แบบเขียนคิ้วสำเร็จรูป) โดยเลือกแบบที่เหมาะกับใบหน้าของเรา มาทาบกับคิ้วเราเพื่อทำการจัดเรียงคิ้วให้สวยงาน และทำให้สามารถกำจัดเส้นคิ้วส่วนเกินออกได้ง่าย











         3. เริ่มใช้ดินสอ/พู่กันเขียนคิ้ว ทำการเขียนคิ้วโดยค่อยๆเขียนตามแบบเขียนคิ้ว ค่อยๆลงน้ำหนักของปากกา










         4. เมื่อเขียนคิ้วเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ดูความเรียบร้อยของคิ้ว ด้วยการลบ หรือทำความสะอาดในจุดที่เกินออกไป




















                สำเร็จเสร็จเรียบร้อย ได้คิ้วสวยงามอย่างที่สาวๆต้องการกันไหมค่ะ 
                                     ลองทำดู อย่าลืมมาทักทายกันน่ะค่ะ ^^




ขอบคุณภาพและเนื้อหาดีดีจาก : http://thebeautydepartment.com



เทคนิดการจัดเก็บเครื่องสำอาง [3] >> จำเป็นต้องเก็บเครื่องสำอางในตู้เย็นหรือไม่!!


เทคนิดการจัดเก็บเครื่องสำอาง [3] 
จำเป็นต้องเก็บเครื่องสำอางในตู้เย็นหรือไม่!!



                 
                 คำตอบ: “ไม่จำเป็น และไม่ควรอย่างยิ่ง
                 อธิบายเพิ่มเติม: เครื่องสำอางบำรุงผิว รองพื้น และกันแดด มักจะเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทอีมัลชั่น โดยทั่วไปจะประกอบด้วยสองส่วนที่ไม่เข้ากันคือน้ำและน้ำมัน และมีสารก่ออีมัลชัน (emulsifier) ทำหน้าที่เป็นคนกลาง พยายามทำให้น้ำและน้ำมันนั้นปรองดองกัน อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข (คือไม่แยกกันเป็นสองชั้น) ดังนั้นโดยธรรมชาติของตัวผลิตภัณฑ์เอง ทั้งน้ำและน้ำมันพยายามจะแยกตัวออกจากกันตลอดเวลา และจะยิ่งแยกตัวได้เร็วขึ้นหากผลิตภัณฑ์นั้นถูกเก็บรักษาในสภาวะที่ไม่เหมาะสม เช่น อุณหภูมิสูงเกินไป ต่ำเกินไป หรือถูกแสงแดดโดยตรง
                 ในการทดสอบความคงตัวของเครื่องสำอาง เครื่องสำอางจะถูกทดสอบในสภาวะเร่ง (stress condition) ซึ่งก็คือสภาวะที่ได้กล่าวมาแล้วนั่นเอง หากจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้น สภาวะเร่งเหล่านั้นคือ อุณหภูมิ 40 - 45 องศาเซลเซียส เป็นตัวแทนของอุณหภูมิสูง, 2-8 องศาเซลเซียส (อุณหภูมิในตู้เย็นช่องธรรมดา) เป็นตัวแทนของอุณหภูมิต่ำ, วางไว้ข้างหน้าต่าง หรือในตู้ที่มีไฟส่องถึงโดยตรง แทนการเก็บไว้ในที่ที่แสงแดดส่องถึง (สภาวะนี้สามารถดูการจางของสีของผลิตภัณฑ์ได้ด้วย) และอุณหภูมิสูงๆต่ำๆ คือเก็บไว้ในอุณหภูมิห้อง สลับกับช่องแช่แข็ง เพื่อให้สภาวะที่เก็บยิ่ง extreme เร่งให้เกิดการไม่คงสภาพของเครื่องสำอาง หากเครื่องสำอางที่ทดสอบผ่านสภาวะเค้น เครียด และกดดันเหล่านี้ไปได้ ก็ถือว่าเครื่องสำอางน่าจะมีความคงตัวดี ทนทานกับสภาวะเหล่านี้ได้ประมาณนึง ดังนั้นสภาวะที่กล่าวมาแล้วข้างต้นทั้งหมดไม่เหมาะจะเก็บรักษาเครื่องสำอางค่ะ
                 แล้วเก็บเครื่องสำอางที่ไหน ยังไงกันดีนะ? ... บริเวณที่เหมาะจะเก็บเครื่องสำอาง คือบริเวณที่ไม่ถูกแสงแดดส่องถึงโดยตรงระหว่างวัน และมีอุณหภูมิประมาณ 25 องศาเซลเซียส ซึ่งถ้าเป็นเมืองร้อนบ้านเรา ก็คือ “อุณหภูมิในห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศ” เคยโดนถามต่อว่า แล้วถ้าในห้อง เช่น ห้องนอน เปิดแอร์เฉพาะตอนกลางคืนหล่ะ กลางวันมันจะร้อนไปไหม ผู้เขียนว่าถ้าวางไว้ในตู้ หรือ จุดที่ไม่ได้โดนแดดส่องโดยตรง ก็คิดว่าอุณหภูมิไม่น่าจะสูงมาก ไม่น่าจะเป็นอะไร และที่สำคัญหากเครื่องสำอางของคุณเป็นแบบกระปุก ก่อนล้วงๆควักๆขึ้นมาใช้ อย่าลืมล้างมือให้สะอาดจะได้ไม่พาเชื้อโรคลงไปเพาะพันธุ์ออกลูกออกหลานกันในกระปุก และเมื่อใช้เสร็จแล้วควรปิดฝาให้แน่น เพราะไม่เช่นนั้น น้ำในผลิตภัณฑ์จะระเหยไปได้ สังเกตได้จากเนื้อครีมมันหด หรือลดลงเร็วกว่าที่ควร
                 พวกลิปสติก ลิปกลอสก็เหมือนกันนะคะ ควรเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง เพราะหากเก็บไว้ที่ร้อนหรือเย็นเกินไป อาจจะทำให้ลิปสติกมีเหงื่อ (sweating เห็นน้ำมันเกาะบนแท่งเป็นจุดๆเหมือนเวลาคนเหงื่อออก) ความร้อนสามารถเร่งการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ทำให้ผลิตภัณฑ์เหม็นหืนได้ง่าย และหากการเก็บในที่เย็นเกินไป ก็มีโอกาสที่จะทำให้พวกแว๊กซ์ตกผลึก ความแข็ง และความเปราะของแท่งเปลี่ยนแปลงไปได้ค่ะ
                 สำหรับเครื่องสำอางที่เป็นพวกเนื้อแป้ง ไม่ว่าจะเป็นแป้งสำหรับทาหน้า บลัช อายแชโดว์ หรือผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเป็นผงแห้งอื่นๆ มีข้อแนะนำเพิ่มเติมนิดนึงว่า ควรเก็บให้ห่างจากความชื้น ดังนั้นจึงไม่ควรเก็บไว้ในห้องน้ำ ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีความชื้นมาก จำทำให้เครื่องสำอางของคุณดูดความชื้น และเสื่อมคุณภาพเร็วกว่าที่ควรค่ะ


ขอบคุณที่มา ภาพและเนื้อหาดีดีจาก : http://www.pleasehealth.com/index.php?option=com_content&view=article&id=511:2012-02-12-07-56-10&catid=4:trendy-health&Itemid=6

**หมายเหตุ : เนื่องจากบทความนี้เป็นบทความที่มีความรู้ Admin จึงได้นำมาเสนอเพิ่มเติมในส่วนของ 
เทคนิดการจัดเก็บเครื่องสำอาง หวังว่าจะมีประโยชน์กับสาวๆทุกคนน่ะค่ะ  


           


เทคนิดการจัดเก็บเครื่องสำอาง [2] >> วิธีการสังเกตุเครื่องสำอางชนิดต่างๆ


เทคนิดการจัดเก็บเครื่องสำอาง [2] 
วิธีการสังเกตุเครื่องสำอางชนิดต่างๆ
                   เทคนิดการจัดเก็บเครื่องสำอาง [2] นอกจากจะนำเสนอวิธีการเก็บรักษาเครื่องสำอางในรูปแบบต่างๆแล้ว อยากให้สาวๆ ลองสังเกตุเครื่องสำอางที่เราเก็บไว้สักนิดหนึ่งว่า ยังสามารถใช้ได้อยู่รึไม่ หรือ หมดอายุรึยัง เพื่อเป็นประโยชน์กับสาวๆในการนำมาใช้ ทั้งยังช่วยประหยัดพื้นที่ในการเก็บเครื่องสำอางที่เราไม่สามารถนำมาใช้แล้วเหล่านั้นได้ด้วย <ไม่ต้องเสียดายน่ะจ๊ะ ถ้าหมดอายุแล้ว ก็ทิ้งได้เลยเพราะหากนำกลับมาใช้อีก อาจทำให้เกิดสิ่งไม่พึงประสงค์บนใบหน้าเราก็เป็นได้ ^^ . . . มาเริ่มต้นกันเลย . . . 

                    เครื่องสำอางชนิดต่างๆ


                   - Mascara : หมดอายุภายใน 4 เดือน หากใช้นานกว่านั้นจะมีลักษณะแห้งและจับตัวเป็นก้อน  
                   - Eye Shadow :   หมดอายุภายใน 3 ปี หลังจากเปิดใช้ครั้งแรก สังเกตความเสื่อมได้โดยดูที่เนื้อผลิตภัณฑ์จะเกิดการเปลี่ยนแปลง อย่างเช่น เป็นผงหลุดล่อน เวลาทาแล้วเนื้อสีไม่ติด
                   - Eye Liner  : ในกรณีที่มีการใช้เป็นประจำ จะหมดอายุภายใน 3 ปี หรือดูได้จากเนื้อผลิตภัณ์มี่ดูแห้ง และจับตัวเป็นก้อน
                   - Brush on  :  ในกรณีที่มีการใช้เป็นประจำ จะหมดอายุภายใน 3 ปี หรือดูได้จากสีที่เปลี่ยนแปลงและเนื้อที่หลุดร่วงก็ได้ค่ะ 
                   - Foudation :  ถ้าเป็นแบบผสมน้ำ ใช้ได้ 1 ปี แบบผสมน้ำมัน ใช้ได้ภายใน 1 ปีครึ่ง หลังจากเปิดใช้ครั้งแรก หากเกิดการแยกตัวของเนื้อหรือกลิ่นไม่พึงประสงค์ แนะนำให้โยนทิ้งสถานเดียว 
                   - แป้งฝุ่น   หมดอายุภายใน  2 ปี ถ้าเริ่มส่งกลิ่นก็ทิ้งไปเลยค่ะ เพราะไม่คุ้มแน่ๆ ถ้ายังนำมาใช้ เพราะสิวถามหาแน่ๆ
                   - Make up Base  :  หมดอายุภายใน 1 ปีหลังจากเปิดใช้ครั้งแรก หากเกิดการเปลี่ยนสีและเนื้อผลิตภัณฑ์มีลักษณะหนืดข้นขึ้น เนื้อครีมในขวดแตก เมื่อเขย่าแล้ว เนื้อไม่ผสานกัน ก็โละเช่นกันค่ะ 
                   - Lip liner & Lipstick :  อยู่ ได้นาน 2 ปี หรือสังเกตได้จากการดมกลิ่น หากมีกลิ่นเหม็นหืน สีเปลี่ยน ทาแล้วไม่เนียน ไม่เป็นตามรูปปาก เปลี่ยนจากเดิมก็ควรเลิกใช้
                   - น้ำยาทาเล็บ :  ใช้ได้ราว 1 ปี  และพยายามอย่าให้มีอะไรปนเปื้อนลงไปในขวด ไม่ควรเปิดทิ้งไว้นานๆ และหมั่นเติมน้ำยาทาสีเล็บแห้ง





                    Skincare 

                    - Eye cream : หมดอายุภายใน 6 เดือน หลังจากเปิดใช้ครั้งแรก ด้วยความที่ครีมสำหรับดวงตานั้นเป็นครีมที่ผลิตโดยเน้นความปลอดภัยเพราะต้อง ใช้บริเวณรอบดวงตา ปริมาณสารกันเสียจึงมีน้อยกว่าในผลิตภัณฑ์ชนิดอื่น อายุการเก็บรักษาก็น้อยลงไปด้วย
                    - Face Moisturizer  :  หมดอายุภายใน 1 ปีหลังจากการเปิดใช้ในครั้งแรก หรือสังเกตได้จากกลิ่น สี และเนื้อที่แตกตัวไม่เป็นเนื้อเดียวกัน 
                    - Toner  :  หมดอายุภายใน 1 ปีนับจากวันที่เปิดใช้ หรือสังเกตได้จากน้ำที่เปลี่ยนสีและกลิ่นที่เปรี้ยวฉุนยิ่งขึ้น 
                    - Cleanser  :  หมดอายุภายใน 1 ปีนับจากวันที่เปิดใช้ หรือสังเกตได้จากเนื้อครีมที่หนือขึ้น แตกตัวและกลิ่นของเคมีที่มีความรุนแรงกว่าเดิม


                   Perfume
                     ถ้ายังไม่เปิดใช้และเก็บให้ห่างจากแสดงสว่างและความร้อน จะมีอายุนาน 3 ปี ถ้าเริ่มเปิดใช้ จะอยู่ได้นานราว 1 ปีครึ่ง แต่ถ้าเริ่มมีกลิ่นผิดปกติหรือมีกลิ่นฉุนคล้ายน้ำส้มสายชู มีสีคล้ำลงหรือเปลี่ยนสี ลักษณะข้นเหนียว แสดงว่าน้ำหอมขวดนั้นหมดอายุไปแล้ว


                      อุปกรณ์แต่งหน้าก็สำคัญนะ   

                      ที่ดัดขนตา : ใช้สำลีชุบน้ำอุ่น เช็ดให้ทั่ว ด้วยเฉพาะ ส่วนที่เป็นยาง เพราะจะเป็นส่วนที่มีร่องรอยความมันและสีของอายแชโดว์มากที่สุด
                      ฟองน้ำ  :  ถ้าคุณใช้เพียงคนเดียวไม่มีใครมาใช้ร่วมด้วย การทำความสะอาดอาทิตย์ละครั้งก็เพียงพอแล้ว โดยใช้น้ำอุ่นผสมกับน้ำสบู่ นำฟองน้ำมาขยำเบาๆ ล้างน้ำให้หมดฟองแล้วนำไปผึ่งลมให้แห้ง
                      พัฟ อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับซับแป้งฝุ่นทาหน้าหลังจากลงรองพื้น หลักการทำความสะอาดเช่นเดียวกับฟองน้ำ 
                      พู่กัน  :  การทำความสะอาดพู่กันนั้นควรทำความสะอาดทุกๆ 2 สัปดาห์ โดยนำพู่กันนั้นมาแช่ในน้ำสบู่ แกว่งพู่กันวนไปมาจนสีของเครื่องสำอางละลายออกหมด จากนั้นนำไปล้างด้วยน้ำสะอาด บีบไล่น้ำออก เอากระดาษทิชชูพันรอบปลายพู่กัน เพื่อป้องกันขนแปรงกระจาย จากนั้นนำไปผึ่งลม ห้ามโดนแสงแดดเช่นเดียวกับฟองน้ำและพัฟ

                      ข้อแนะนำในการเก็บรักษาอย่างถูกวิธี 

                       ไม่ควรเก็บเครื่องสำอางในอุณหภูมิสูงมากๆ ใครที่นิยมเก็บเครื่องสำอางไว้ในรถกรุณาเปลี่ยนที่เก็บด่วนนะคะ เพราะผลิตภัณฑ์ต่างๆ เนี่ยพอเจออากาศบ้านเรา จากอายุการใช้งานเดิมนี่ก็ต้องหารออกไปเกือบเท่าตัว แล้วยิ่งในรถร้อนๆ เนี่ยอายุมันจะสั้นไปอีกกี่เท่าตัว
                       หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางโดยใช้นิ้วมือควักออกจากบรรจุภัณฑ์โดยตรง ก็มือของเราเนี่ยเป็นแหล่งรวมเชื้อโรคอย่างดีเลยละค่ะ
                       ตรวจเช็ควันเดือนปีที่ผลิตรวมถึงวันหมดอายุของเครื่องสำอางชิ้นนั้นทุกครั้งก่อนซื้อ                        -  ถ้าหากเป็นคนชอบซื้อเครื่องสำอางมาตุนไว้เยอะๆ ก็ไม่ควรเปิดดูเล่นจนกว่าจะเริ่มใช้จริงและควรเก็บให้พ้นแสงแดด แช่ไว้ในตู้เย็นก็ได้ค่ะ
                       การเก็บเครื่องสำอางไว้ในตู้เย็น ควรเป็นการเก็บแบบเฉพาะนะคะ ไม่ควรนำอาหารต่างๆ มารวมด้วย เพราะเป็นการทำให้กลิ่นเพี้ยนและอาจทำให้ครีมเสื่อมสภาพได้ค่ะ





ขอบคุณที่มาดีดีจาก : pharmashop.weloveshopping.com
ขอบคุณภาพดีดีจาก : pccalabs.com, marumura.com








เทคนิดการจัดเก็บเครื่องสำอาง [1] >> มารู้จักวิธีเก็บเครื่องสำอาง ในแบบต่างๆ กันเถอะ!!



เทคนิดการจัดเก็บเครื่องสำอาง [1] 
มารู้จักวิธีเก็บเครื่องสำอาง ในแบบต่างๆ กันเถอะ!!


                เครื่องสำอางและสาวๆ เป็นของที่คู่กันมานาน มีมากหรือน้อย Lady Society เชื่อว่าทุกคนต่างต้องการที่จะจัดเก็บมันให้เรียบร้อย เพื่อเป็นการสะดวกในการนำมาใช้ รวมถึงการจัดเก็บเพื่อรักษาเครื่องสำอางที่เราใช้ให้มีสภาพอยู่กับเราได้นานๆ หรือการจัดเก็บเพื่อให้การใช้เครื่องสำอางบางชนิดมีประสิทธิภาพมายิ่งขึ้นในการเอามาใช้แต่ละครั้ง มาดูวิธีการจัดเก็บเครื่องสำอางของสาวๆในแบบต่างๆกันเลยจ้า ^^

                วิธีที่ 1 ไอเดียสำหรับสาวน้อยที่ไม่ค่อยเมคอัพ

                สำหรับผู้ที่มีอุปกรณ์เมคอัพน้อย ไม่มาก แต่หลายประเภท มีการแยกส่วนในการจัดเก็บ ทำให้เราเก็บอุปกรณ์หลายอย่างไว้ในพื้นที่เดียวกันได้ สามารถถือหิ้วไปแต่งที่ไหนก็ได้ ยิ่งถ้าหาที่วางดีไซน์เก๋ๆด้วยแล้ว ยิ่งน่าใช้ น่าหยิบ น่าเก็บไปกันใหญ่

จัดวางของเป็นหมวดหมู่ให้สามารถหยิบใช้ได้สะดวก
ควรจัดเครื่องสำอางเป็นหมวดหมู่ในการจัด  
                วิธีที่ 2 สำหรับสาวๆที่มีอุปกรณ์เมคอัพค่อนข้างเยอะและแต่งหน้าบ่อย
               อาจจะต้องหาช่องชั้นมาเก็บเพื่อแยก หยิบใช้งานได้สะดวก หรือ เลือกโต๊ะเครื่องแป้งที่มีลิ้นชักอีกทางเลือกที่ดีหากอยากประหยัดเนื้อที่ เพราะไม่รกเกะกะ แต่คงต้องดูหน่อยละค่ะ ว่าสามารถน้ำหอมขวดสวยของเราได้หรือป่าว ลองดูหารมาเก็บให้เครื่องสำอางของคุณน่าใช้กันนะคะ




หาชั้น หรือ กล่องที่มีช่องแยกระหว่างอุปกรณ์การแต่งหน้ากับเครื่องสำอาง เป็นการสะดวกตอนที่เราหยิบใช้ ทำให้หาอุปกรณ์ต่างๆได้ง่ายขึ้น


ในลิ้นชักควรหาอะไรมาคั้นเครื่องสำอางชนิดต่างๆ นอกจากจะทำให้สะดวกในการหยิบใช้ ยังทำให้เครื่องสำอางชนิดต่างๆอยู่ไม่เกะกะปนกัน ซึ่งหากไม่กั้นกันไว้ เมื่อเราหยิบใช้อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดจากการเปิดลิ้นชักได้ เช่น ฝาเครื่องสำอางเปิด ทำให้เลอะกล่อง มีฝั่นละอองในลิ้นชักทำให้สกปรก หรือ เปื่อนเครื่องสำอางชนิดต่างๆได้ ทำให้ตัวผลิตภัณฑ์ไม่น่าใช้ เป็นต้น จ้า


                

                วิธีที่ 3 ตะกร้าและกล่องสำหรับสาววินเทจ
                ที่บอกว่าวินเทจคือไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ แต่เป็นการเอาไอเดียสมัย คุณย่าคุณยายของเรามาใช้นั่นเองด้วยวิธีแบบดั้งเดิมที่เก็บของไว้ในตะกร้า กล่องต่างๆ แต่ถึงจะเก่ายังไงก็ง่ายต่อการเก็บ หยิบมาใช้ อีกทั้งตะกร้าหวายที่บุผ้าภายในยังบ่งบอกถึงการแต่งหน้าของผู้หญิงในช่วงยุคศตวรรษที่ 19 อีกด้วย







แยกเครื่องสำอางให้ชัดเจน ปิดฝา/ตลัด ให้มิดชิด แยกผ้าที่ใช้ทั่วไป และผ้าทำความสะอาดเครื่องสำอาง










ประหยัดพื้นที่ด้วยการแบ่งช่องการจัดเก็บเครื่องสำอางในตะกร้า และแบ่งชนิดเครื่องสำอาง






               วิธีที่ 4 สาวสวนทันสมัย working women
                สำหรับสาวบยุคใหม่ ในปัจจุบันต้องชอบอะไรที่ดีไซน์เก๋ๆแน่ หากคุณเป็นคนที่แต่งหน้าบ่อยต้องตื่นแต่เช้ามาเมคอัพก่อนไปทำงานทุกวัน ข้าวของเยอะหลายอย่าง ลองหาที่วางแบบภาพด้านบนดู เก๋ไก๋ไม่น้อยทำให้น่าใช้ อยากแต่ง ไม่ว่าจะไดร์เป่าผมหรือหวี ก็สามารถเก็บให้อยู่รวมกับเครื่องสำอางได้ เมินปัญหาเบื่่อการแต่งหน้า หาของก่อนไปทำงานได้เลย





หากคุณเป็นคนแต่งบ่อย และมี Items ในการเลือกใช้เยอะควรหาชั้นเก็บที่สามารถเก็บได้หลายส่วนและแบ่งโซนอุปกรณ์ได้ชัดเจน



การเลือกที่เก็บเครื่องสำอางมีส่วนในการหยิบใช้ด้วยน่ะค่ะ ^^




                วิธีที่ 5 สำหรับสาวๆมืออาชีพ
                ไอเดียนี้สำหรับมืออาชีพที่ต้องแต่งหน้าทุกวัน แต่งหน้านานๆ ออกงานบ่อยๆ และคุณค่อนข้างจะมีพื้นที่ของห้องกว้าง จัดแยกไว้เป็นสัดส่วนเลยคะง่ายต่อการหยิบใช้








ชั้นวางของขนาดใหญ่ ใส่ได้จุใจกว่าเดิม













การเลือกโต๊ะเครื่องแป้งที่เหมาะกับผู้ใช้ นอกจากจะทำให้สะดวกในการจัดเก็บของแล้ว ยังทำให้ดูน่าใช้ด้วย





                ดังนั้นสิ่งที่สำคัญในการจัดเก็บเครื่องสำอาง ขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัยของผู้ใช้ จำนวนเครื่องสำอางที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน อุปกรณ์เสริมการจัดเก็บ และที่สำคัญที่สุดคือ การจัดเก็บเครื่องสำอางให้เป็นนิสัยของตัวผู้ใช้เอง อย่าลืมน่ะค่ะ เครื่องสำอางจะน่าใช้ หรือ หยิบใช้สอยสะดวกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเราว่ามีการจัดเก็บเหมาะสมหรือไม่ จัดเก็บอุปกรณ์ หรือเครื่องสำอางดีแล้วหรือยัง  >> หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์ต่อสาวๆหลายๆท่านน่ะค่ะ อย่าลืม ร่วมแชร์บทความดีๆ กับเพื่อนๆของสาวๆด้วยน่ะค่ะ รวมถึง แนะนำ ติชมเราได้ค่ะ คราวหน้าจะมีอะไรใหม่ อย่าลืมมาติดตามกันน่ะค่ะ ^.^





ขอบคุณที่มาและภาพดีดีจาก : forfur.com



การดูแลสุขภาพเล็บ ที่ถูกต้อง


ดูแลสุขภาพเล็บที่ถูกต้อง

           เล็บ จัดได้ว่าเป็นอีกสิ่งหนึ่งของร่างกายที่มีสำคัญ เพราะสามารถบอกได้ว่า ณ ขณะนั้นสุขภาพของเรายังคงแข็งแรงปกติดีอยู่หรือไม่ ซึ่งดูได้จากลักษณะของเล็บ อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของแฟชั่นในปัจจุบันได้ด้วย  วันนี้ Lady Society ขอนำเสนอความรูเกี่ยวกับเรื่องของเล็บมาฝากสาวๆกัน มาเริ่มดูกันเลยจ้า


          
            ก่อนอื่นมารู้จักกับลักษณะเล็บที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยมี 3 ลักษณะ ตามนี้จ้า

            1.   เล็บช้ำ

            เล็บ คือ กระดูกที่ร่างกายผลิตขึ้นมา  แต่เป็นกระดูกอ่อนที่อยู่นอกร่างกาย  ถ้าถูกกระแทกแรงๆจะเจ็บมากและจะเริ่มช้ำ  เป็นจุดสีเขียว สีม่วง เพราะเลือดช้ำมาคั่งอยู่  ไม่ว่าจะเป็นทีเล็บมือหรือเล็บเท้า  ถ้าคุณปล่อยไว้จะกลายเป็นจุดสีดำที่เล็บ  กระจายทั่วไป  พอนานเข้าก็จะเป็นสีติดอยู่ที่เล็บเห็นได้ชัดอยู่อย่างนั้น  ซึ่งดูแล้วไม่สวยงาม

            วิธีรักษาง่ายๆ ตามตำราพื้นบ้านที่ให้ผลชะงัดมาก คือ เมื่อเกิดอาการขึ้นใหม่ๆ ให้ใช้ใบกระเทียม 1 กำมือ และข้าวสารประมาณหยิบมือ  นำมาบดให้ละเอียด  ผสมน้ำนิดหน่อยพอกบริเวณเล็บที่ช้ำ  แล้วใช้ผ้าพันแผลพันไว้กันหลุด  ทำตอนเย็นหรือก่อนนอน  พอรุ่งเช้าทั้งอาการปวดและเลือดที่คั่งอยู่ก็จะจางหายไป
           
           2.   เล็บเปราะหัก
            ปัญหานี้เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งกับผู้หญิง  โดยเฉพาะคนที่ไว้เล็บยาวๆเพราะผู้หญิงมีแนวโน้มในการขาดธาตุเหล็กสูงกว่าผู้ชาย  และจากผลการวิจัยพบว่า เล็บเป็นอวัยวะที่ไวต่อการขาดธาตุเหล็กในระบบร่างกายของเรา
            ดังนั้นในช่วงที่มีประจำเดือน  อาการเล็บเปราะและหักจะเกิดขึ้นได้ง่ายมาก  เพราะเล็บขาดสารอาหารจึงไม่แข็งแรง  นอกจากนี้อาจเกิดจากการใช้ยาทาเล็บบางชนิดที่มีปฏิกิริยากับเล็บทำให้เล็บเปราะบางและฉีกอยู่เป็นประจำช่วงไหนเกิดอาการนี้  ให้เพิ่มปริมาณการรับประทานผัก  ผลไม้  และเลิกทาเล็บสักพัก รวมทั้งน้ำยาเคลือบเล็บทุกประเภท เพื่อพักเล็บให้หายใจบ้าง

            ส่วนวิธีป้องกันที่สาวๆควรปฏิบัติเป็นประจำ คือ การทาครีมมอยส์เจอไรเซอร์ที่เล็บเสมอ  พยายามใช้น้ำยาล้างเล็บให้น้อยที่สุด  และหลีกเลี่ยงการสัมผัสผงซักฟอกและสารเคมีโดยตรง  ควรใส่ถุงมือเวลาซักผ้าหรือล้างจาน

           3.   เล็บขบ     
            อาการนี้มักเกิดกับเล็บเท้า  แม้จะไม่ค่อยได้อวดโฉมกันบ่อยเท่าไร  แต่ถ้าเกิดเล็บขบเมื่อไหร่  รองเท้ากัดที่ว่าทรมานแล้วยังต้องยอมแพ้  สาเหตุส่วนใหญ่มักเกิดจากการตัดเล็บแบบโค้ง  เมื่อเล็บงอกขึ้นใหม่ก็จะแทงเข้าไปในเนื้อเท้า  รวมถึงการขุดตรงจมูกเล็บ  ทั้งสองอย่างนี้จะทำให้เกิดการระบม  อักเสบ  บวม  และเกิดหนองได้ในที่สุด บางครั้งการสวมรองเท้าที่บีบนิ้วเท้ามากๆก็ทำให้เกิดการระบมขึ้นได้เช่นกัน

            วิธีการดูแลตนเอง
            - แช่เท้าในน้ำอุ่นผสมเกลือสัก 15 นาที แล้วใช้กรรไกรเล็มหนังที่ตายแล้วออก
            - ระยะที่อาการยังระบมอยู่ควรเลือกสวมรองเท้าแบบเปิดหัว
            - ใช้ยาม่วง (เจ็นเตียน  ไวโอเลต) ชนิด 1 % ป้ายตรงบริเวณเล็บขบ  หาซื้อได้ตามร้านขาย
                ยาทั่วไป
            - หาสำลีเป็นก้อนชุบน้ำมันละหุ่งวางปิดไว้เพื่อไม่ให้เล็บชี้ขึ้นไปกระทบสิ่งต่างๆ

            วิธีการรักษาเล็บขบเป็นหนองด้วยตำรายาพื้นบ้าน            ไพลสดยาวประมาณสองนิ้ว 1 แง่ง เกลือตัวผู้ 7 เม็ด (เกลือเม็ดที่ได้จากนาเกลือทะเลจนตกผลึกเป็น 2 ลักษณะ คือ ลักษณะเป็นแผ่นเกล็ด  เรียกว่าเกลือตัวเมีย  และลักษณะเป็นผลึกแท่งยาว เรียกว่า เกลือตัวผู้ ) และข้าวสุก 2 กำมือ  นำตัวยาทั้งสามอย่างนี้มาตำให้ละเอียดพอกบริเวณที่เป็นแผล  จะทำให้หนองแตกและหายปวดทันที

            ถ้ามีอาการปวดมากหรือเป็นแผลขนาดใหญ่ควรรีบปรึกษาแพทย์  ส่วนวิธีป้องกันง่ายๆคือ ตัดเล็บให้เป็นเส้นตรง  อย่าตัดขอบแหลม และเลือกสวมรองเท้าคู่สบายที่มีเนื้อที่ให้เหยียดนิ้วได้แบบไม่ทรมาน
           


           ไม่สบายรู้ได้เมื่อเล็บฟ้อง
            1.   มีอาการเล็บซีด
                  สาเหตุ  บ่งชี้ถึงการขาดธาตุเหล็ก หรืออาจเป็นโรคตับและโรคไต
                  อาหารที่ควรเสริม  ผักใบเขียวเข้ม  ปลา  และธัญพืช

            2.   มีอาการเล็บเหลือง
                  สาเหตุ  บ่งชี้ถึงการขาดวิตามินอี มีปัญหาในระบบน้ำเหลืองหรือปัญหาโรคทางเดิน
                             หายใจ
                  อาหารที่ควรเสริม  ผักใบเขียวเข้ม   ผลไม้  และข้าว

            3.   มีอาการเล็บมีจุดขาว
                  สาเหตุ  บ่งชี้ถึงการขาดธาตุสังกะสี
                  อาการของเล็บ  อาหารทะเล  ผักขม  เห็ด  ธัญพืช  และเมล็ดดอกทานตะวัน




           เคล็ดลับเล็บสวย
            1.   เล็บนุ่ม
             คั้นน้ำมะนาวสดสัก 1 ลูก แล้วใช้สำลีชุบน้ำมะนาวที่ได้  ทาให้ทั่วเล็บมือและเท้า  ปล่อยทิ้งไว้สัก 10 นาที แล้วค่อยๆล้างออกด้วยน้ำสบู่กับน้ำอุ่น  หากทำเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ต่ออาทิตย์ จะช่วยทำให้เล็บนุ่มและแข็งแรงขึ้น

            2.   เล็บแบน
            ให้บีบตรงปลายนิ้วจนมีสีชมพู  ทำแบบนี้ประมาณ 5 นาทีทุกวัน  เพียงเท่านี้เล็บของคุณก็จะได้รูปโค้งสวยขึ้นได้

            3.   เทคนิคการตะไบเล็บ
            เวลาตะไบเล็บให้ตะไบไปทางเดียว  จากด้านข้างเล็บเข้าด้านใน  อย่าตะไบแบบไร้ทิศทาง  เพราะแทนที่คุณจะมีเล็บสวยๆกลับยิ่งทำให้เล็บขรุขระมากขึ้น

            4.   เล็บสุขภาพดี
            เคล็ดลับสุดท้ายที่สำคัญที่สุดของการมีเล็บสวย คือ การรับประทานอาหาร  โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารอาหารประเภทเหล็ก  แคลเซียม  วิตามินบี  และโพแทสเซียม เพราะที่สุดของเล็บสวยย่อมมาจากการบำรุงให้เล็บมีสุขภาพดีนั่นเอง

            5.   เล็บสีสวย
            ไม่ต้องพึ่งพายาทาเล็บก็สวยได้  ใช้น้ำผลไม้ที่มีกลิ่นไม่รุนแรงจนเกินไป เช่น  น้ำส้ม  น้ำมะนาว  เทใส่ภาชนะนำเจลหรือโลชั่นบำรุงผิวผสมลงไปพอประมาณ แล้วคนให้เป้นเนื้อเดียวกัน  นำสำลีจุ่มให้ชุ่ม  แล้วทาให้ทั่วเล็บ  ทิ้งไว้ 5 นาที เล็บของคุณจะสวยขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะน้ำผลไม้จะช่วยทำให้เล็บนั้นมีสีชมพูอ่อนและสะอาดขึ้น  ส่วนโลชั่นจะเพิ่มความนุ่มและความหอมให้เล็บ


           อย่าลืมดูแลสุขภาพเล็บของเรากันน่ะค่ะ ทั้งเล็บมือ หรือเล็บเท้า เพื่อที่เพื่อนๆจะได้มีเล็บที่สวยงาม และสามารถตกแต่งเล็บเพื่อโชว์ให้เห็นว่า เล็บของเรานอกจากสวยแล้ว สุขภาพเล็บของเรายังแข็งแรงอีกด้วย ^^




ขอบคุณที่มาดีดีจาก : formumandme







 
Lady Society © 2012 | Designed by Rumah Dijual, in collaboration with Buy Dofollow Links! =) , Lastminutes and Ambien Side Effects